20/05/57
|
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคาร
ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ถึงทางตัน แต่เติบโตได้ช้าลงกว่าในอดีต
เป็นผลจากปัญหาสะสม ทั้งหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวเร็ว รายได้ภาคการเกษตรตกต่ำ
การบริโภคการเอกชนอ่อนแอ อีกทั้งการลงทุนเพื่อตอบโจทย์การบริโภคในประเทศก็ลดลง ประกอบกับมาตรการภาครัฐที่หมดลง
ขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ฉุดให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเติบโตช้า อย่างไรก็ดี
ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ แต่ต้องใช้เวลา
"แม้เศรษฐกิจจะโตช้า แต่จะไม่เข้าขั้นวิกฤต
หากปัญหาการเมืองได้รับการแก้ไขโดยเร็ว และได้ข้อยุติที่ทุกฝ่ายยอมรับ
แม้ปัญหาการเมือง เป็นปัญหาชั่วคราว
แต่หากยืดเยื้อจะกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน
โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ไม่คุ้นเคยกับปัญหาการเมืองไทย อย่างไรก็ดี
หากปัญหาในประเทศสงบ เศรษฐกิจอาจไม่มีกำลังพอที่จะเร่งตัวได้แรง
เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยขยายวงกว้างขึ้น ไม่เพียงด้านความเชื่อมั่น
แต่ลงลึกถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็น หนี้ครัวเรือนที่สูง
โครงสร้างสินค้าส่งออกที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกลดลง
จากเดิมที่คาดว่าปัญหาการเมืองจะยุติช่วงกลางปี และไทยจะมีรัฐบาลได้ในไตรมาส 3 ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน
รวมถึงการท่องเที่ยวที่จะส่งผลดีต่อภาคบริการช่วงครึ่งหลังของปี" นายอมรเทพ
กล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ เพียงแต่ใช้เวลาสักระยะ
ซึ่งเมื่อผู้บริโภคและนักลงทุนไทยปรับตัวในการเร่งชำระหนี้
และเพิ่มการลงทุนในด้านเทคโนโลยี
เราเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง
โดยปัจจัยภาครัฐจะเป็นตัวเสริมให้เศรษฐกิจเร่งตัวขึ้นได้
เมื่อมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
เพียงแต่เศรษฐกิจในปีหน้าอาจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่เรามีหรือที่ทำได้ในอดีต
นายอมรเทพ กล่าวว่า เมื่อความต้องการภายในประเทศอ่อนแอ
หรือเข้าขั้นถดถอย ความหวังจึงไปอยู่ที่ภาคการส่งออก
ว่าจะเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางปัญหาทางการเมือง
แต่การเติบโตของการส่งออกกลับติดลบในไตรมาสแรก ทั้งๆ ที่ภาคการส่งออกสินค้า
ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองมากนัก อีกทั้งเศรษฐกิจโลกก็เติบโตได้ดี
นั่นเป็นเพราะปัญหาการส่งออกเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
ที่ผู้ผลิตไทยยังอาศัยเทคโนโลยีไม่สูงมาก ในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ
อีกทั้งความต้องการของสินค้าหลายประเภทในตลาดโลกก็ลดลง เช่น
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ โดยเฉพาะ Hard Disk Drive
(HDD) และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการบริโภคต่างๆ
เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ทั้งนี้
ตั้งแต่ครึ่งหลังของปีก่อน สหรัฐฯฟื้นตัวด้วยภาคการผลิต โรงงานต่างๆ
มีความสามารถในการแข่งขันจากต้นทุนแรงงานที่ต่ำ
เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่สูงได้กดให้ค่าจ้างเติบโตได้ไม่มากนัก
ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเพื่อการบริโภคไม่สูงขึ้น และความต้องการสินค้าทุนของสหรัฐฯก็
เปลี่ยนไป
ขณะที่ไทยไม่สามารถผลิตเครื่องจักรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง
หรือไม่ได้อยู่ในวงจรการผลิตของโลก (Global supply chain)
อย่างไรก็ดี
การส่งออกสุทธิที่เติบโตได้ดีมาจากการนำเข้าที่หดตัวตามการผลิตและการบริโภคที่ลดลง
อันดูเหมือนเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
แต่แท้จริงไม่ได้ช่วยด้านการบริโภคและการลงทุนเลย
เป็นเพียงการเติบโตทางเทคนิคเท่านั้น
ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า
เมื่อภาคอุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ ภาคการส่งออกขยายตัวได้ไม่มาก
จากเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลา การลงทุน การค้า
และการท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเป็นโอกาสและทางรอดสำหรับนักลงทุนในการรับมือกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลงในปีหน้า
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV โดยอาศัย CLMV
เป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาด รวมทั้งแรงงานที่สำคัญ อีกทั้งอาศัยการเติบโตของคนชั้นกลางใน
CLMV เพื่อขายสินค้าประเภท HDD/Consumer electronics ที่เดิมไทยผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดประเทศพัฒนาแล้วเท่านั้น
สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย คาดว่า
จากตัวเลขเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์ฯและธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงมานั้น ทางสำนักวิจัยฯได้ปรับมุมมองทางเศรษฐกิจ
โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เพียง 1.50% ในปี 2557 จากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ
ขณะที่การส่งออกแม้เติบโตได้ แต่ก็ไม่อาจเร่งตัวได้แรง
ส่วนการนำเข้าโตเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้การส่งออกสุทธิเร่งตัว
ซึ่งภาคต่างประเทศที่เติบโตได้เช่นนี้ ไม่ได้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย
เนื่องจากเป็นเพียงการเติบโตทางเทคนิคเท่านั้น
ด้านอัตราดอกเบี้ย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.00% ตลอดทั้งปี แม้เศรษฐกิจจะเติบโตช้าลง
จากการที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากราคาอาหาร
และจากเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่า
และคาดว่าดอกเบี้ยจะขยับขึ้นได้ในปีหน้าหลังมีแรงกดดันจากเงินไหลออก
ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
สำหรับทิศทางค่าเงินบาท จากภาวะเงินทุนไหลออกที่จะเร่งตัวขึ้น
ค่าเงินบาทจึงมีทิศทางอ่อนค่าลงได้ โดยสำนักวิจัยคาดว่าเงินบาทจะไปแตะระดับ 33.00 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในปลายเดือนมิถุนายน
โดยจะอ่อนค่ามากขึ้นในช่วงปลายปีหากมีการเปลี่ยนมุมมองต่อความเชื่อมั่นในประเทศ
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2558 สำนักวิจัยฯ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัว
โดยประมาณการเติบโตเศรษฐกิจทั้งปี 2558 ไว้ที่ 3% แม้จะเห็นการฟื้นตัว
แต่นับเป็นการเติบโตที่ช้าและต่ำกว่าศักยภาพที่ไทยเคยทำไว้ในอดีต
|
ที่มา : http://www.cimbthai.com/CIMB/news/press_release/4717/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น